videoeditorprogram-stars

ประสบการณ์กว่า 15 ปีในวงการตัดต่อวิดีโอ

อะไรคือ “Take” ในงานวิดีโอ (เทค)

Kristian Ole Rørbye

โดย Kristian Ole Rørbye

อัตรา

ในงานวิดีโอและการผลิตภาพยนตร์ คำว่า “Take” (ในภาษาไทยใช้คำว่า “เทค”) เป็นคำที่ใช้ในการอธิบายถึงการบันทึกภาพในแต่ละครั้งของฉากหรือช็อตหนึ่งๆ โดยปกติการถ่ายทำฉากหนึ่งมักจะมีการบันทึกภาพหลายเทค เพื่อให้ผู้กำกับหรือทีมงานได้เลือกภาพที่ดีที่สุดหรือภาพที่เหมาะสมกับเรื่องราวมากที่สุด

ความหมายของ “Take” (เทค)

“Take” หมายถึงการบันทึกภาพในช่วงเวลาที่กล้องเริ่มทำงานจนกระทั่งหยุดทำงานในการถ่ายทำครั้งหนึ่ง คำนี้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับกระบวนการถ่ายทำภาพยนตร์และวิดีโอ และเป็นคำสำคัญที่ทีมงานต้องเข้าใจและใช้ร่วมกันในทุกขั้นตอนของการถ่ายทำ

ตัวอย่างเช่น หากต้องการถ่ายฉากที่ตัวละครเดินผ่านประตู ทีมงานอาจต้องบันทึกภาพหลายเทค เช่น เทคแรกอาจจะมีข้อผิดพลาดจากการแสดง เทคที่สองกล้องอาจจับภาพไม่สมบูรณ์ หรือเทคที่สามอาจเป็นเทคที่ดีที่สุดที่ทีมงานเลือกใช้ในขั้นตอนตัดต่อ

การใช้งาน “Take” ในกระบวนการถ่ายทำ

  1. การนับเทค
    เมื่อเริ่มการถ่ายทำ ทีมงานมักจะใช้การนับเทค เช่น “Take 1,” “Take 2,” หรือ “Take 3” เพื่อบันทึกจำนวนครั้งที่ได้ถ่ายฉากนั้นๆ การนับเทคช่วยให้ทีมงานสามารถติดตามและจัดการกับฟุตเทจได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในขั้นตอนหลังการถ่ายทำ (Post-production) ที่ต้องเลือกภาพที่ดีที่สุด
  2. การปรับปรุงเทค
    แต่ละเทคที่ถ่ายทำมักจะเป็นโอกาสในการปรับปรุงรายละเอียด เช่น การแสดงของนักแสดง มุมกล้อง หรือแสงและเงา ซึ่งการปรับปรุงในแต่ละเทคจะทำให้ฉากนั้นสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
  3. ความสำคัญของเทคที่ดีที่สุด (Best Take)
    เทคที่ดีที่สุดมักเป็นสิ่งที่ผู้กำกับหรือทีมงานเลือกใช้ในกระบวนการตัดต่อ เพื่อสร้างความต่อเนื่องและอารมณ์ที่สอดคล้องกับเรื่องราว ซึ่งในบางครั้งอาจไม่ใช่เทคสุดท้าย แต่เป็นเทคที่มีความเหมาะสมที่สุดจากการถ่ายทำทั้งหมด

องค์ประกอบของ “Take”

ในการถ่ายทำแต่ละเทค มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ต้องคำนึงถึง:

  • การแสดงของนักแสดง: นักแสดงต้องแสดงบทบาทและอารมณ์ตามที่กำหนดไว้ หากมีข้อผิดพลาด เช่น การลืมบทหรือแสดงไม่ตรงกับอารมณ์ที่ต้องการ อาจต้องถ่ายใหม่
  • การตั้งค่ากล้อง: มุมกล้อง การโฟกัส และการเคลื่อนไหวต้องสมบูรณ์
  • เสียง: การบันทึกเสียงต้องไม่มีเสียงรบกวนที่ไม่พึงประสงค์
  • แสง: แสงต้องเหมาะสมและสอดคล้องกับบรรยากาศของฉาก
  • ความต่อเนื่อง (Continuity): รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น ตำแหน่งของวัตถุหรือการเคลื่อนไหวของนักแสดง ต้องสอดคล้องกับเทคก่อนหน้า

ประเภทของ “Take”

“Take” สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การถ่ายทำ:

  • Master Take: เป็นเทคหลักที่ครอบคลุมทุกการเคลื่อนไหวในฉาก เพื่อให้สามารถใช้งานในกระบวนการตัดต่อได้อย่างอิสระ
  • Close-Up Take: เน้นรายละเอียดเฉพาะ เช่น ใบหน้าของนักแสดงหรือวัตถุสำคัญในฉาก
  • Alternate Take: เป็นการบันทึกเพิ่มเติมเพื่อให้มีตัวเลือกที่หลากหลายในขั้นตอนการตัดต่อ

“Take” กับคำที่เกี่ยวข้อง

  • Scene (ฉาก): หมายถึงส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่มีความต่อเนื่องและอาจประกอบด้วยหลายเทค
  • Shot (ช็อต): หมายถึงการบันทึกภาพต่อเนื่องในครั้งเดียว ซึ่ง “Take” เป็นการบันทึกภาพหลายครั้งของช็อตเดียวกัน
  • Cut (คัต): คำที่ใช้ในการหยุดบันทึกภาพในแต่ละเทค ผู้กำกับมักจะพูดคำนี้เพื่อบอกให้ทีมงานและนักแสดงหยุดการแสดงหรือการถ่ายทำ

การจัดการ “Take” ในขั้นตอน Post-production

หลังจากการถ่ายทำ ทีมงานตัดต่อจะได้รับฟุตเทจทั้งหมดที่ประกอบด้วยหลายเทคในแต่ละฉาก หน้าที่ของพวกเขาคือการเลือกเทคที่ดีที่สุดและนำมาประกอบกับเทคอื่นๆ เพื่อสร้างความต่อเนื่องของเรื่องราว

ในกระบวนการนี้ การจัดระเบียบเทคมีความสำคัญอย่างมาก โดยทีมงานมักจะทำ “Slate” หรือบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับแต่ละเทค เช่น หมายเลขช็อตและหมายเลขเทค เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหาและเลือกใช้ในภายหลัง