ในโลกของการตัดต่อวิดีโอและการผลิตภาพยนตร์ หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการระบุและจัดการช่วงเวลาของวิดีโอได้อย่างแม่นยำคือ “Timecode” หรือในภาษาไทยเรียกว่า รหัสเวลา Timecode มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยให้ผู้สร้างสรรค์งานสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจัดการไฟล์วิดีโอที่มีความยาวหลายชั่วโมงได้อย่างสะดวก
Timecode คืออะไร?
Timecode เป็นระบบการระบุเวลาที่ใช้ในสื่อวิดีโอและเสียง โดยเป็นตัวเลขที่แสดงถึงตำแหน่งที่แน่นอนในไฟล์วิดีโอหรือเสียง ระบบนี้จะแสดงข้อมูลออกมาในรูปแบบของชั่วโมง (Hours), นาที (Minutes), วินาที (Seconds) และเฟรม (Frames) เช่น 01:23:45:12 ซึ่งหมายถึงชั่วโมงที่ 1 นาทีที่ 23 วินาทีที่ 45 และเฟรมที่ 12 ในวิดีโอ
องค์ประกอบของ Timecode
- ชั่วโมง (Hours)
ตัวเลขแรกใน Timecode บ่งบอกถึงชั่วโมง เช่น “01” ใน Timecode 01:23:45:12 หมายถึงช่วงเวลา 1 ชั่วโมง - นาที (Minutes)
ตัวเลขถัดมาหมายถึงจำนวนนาทีในวิดีโอ เช่น “23” ใน Timecode 01:23:45:12 - วินาที (Seconds)
ตัวเลขชุดที่สามใช้เพื่อแสดงจำนวนวินาที เช่น “45” ใน Timecode 01:23:45:12 - เฟรม (Frames)
ตัวเลขสุดท้ายใน Timecode คือจำนวนเฟรม ซึ่งขึ้นอยู่กับอัตราเฟรม (Frame Rate) ของวิดีโอ เช่น วิดีโอที่มีอัตราเฟรม 30 เฟรมต่อวินาที เฟรมที่ 12 หมายถึงเฟรมที่ 12 ในช่วง 1 วินาที
รูปแบบ Timecode ที่ใช้บ่อย
- SMPTE Timecode
SMPTE (Society of Motion Picture and Television Engineers) Timecode เป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวิดีโอ Timecode รูปแบบนี้ใช้ตัวเลข 4 ชุด ได้แก่ ชั่วโมง นาที วินาที และเฟรม (HH:MM:SS:FF) - Drop Frame และ Non-Drop Frame
Timecode ยังมีรูปแบบที่เรียกว่า Drop Frame และ Non-Drop Frame เพื่อปรับความแม่นยำของเวลาให้ตรงกับมาตรฐาน NTSC ในระบบโทรทัศน์ของสหรัฐอเมริกา- Drop Frame: มีการปรับเฟรมเล็กน้อยในทุกๆ นาทีเพื่อให้เวลาตรงกับความเป็นจริง
- Non-Drop Frame: ไม่มีการปรับแก้เฟรม ทำให้เวลาอาจแตกต่างเล็กน้อยจากเวลาจริง
- Linear Timecode (LTC)
เป็น Timecode ที่ถูกเข้ารหัสเป็นสัญญาณเสียง ใช้ในระบบการบันทึกที่ต้องการความแม่นยำสูง - Vertical Interval Timecode (VITC)
Timecode ที่ถูกฝังลงในสัญญาณวิดีโอเพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้ง่าย
การใช้งาน Timecode ในกระบวนการตัดต่อวิดีโอ
- การซิงค์เสียงและวิดีโอ
Timecode ช่วยให้การซิงค์ระหว่างไฟล์เสียงและวิดีโอทำได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการบันทึกเสียงแยกจากวิดีโอ - การจัดการไฟล์วิดีโอขนาดใหญ่
ในโปรเจกต์ที่มีฟุตเทจจำนวนมาก Timecode ช่วยให้ทีมงานสามารถค้นหาช่วงเวลาที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว - การทำงานร่วมกันในทีม
เมื่อมีหลายคนทำงานในโปรเจกต์เดียวกัน Timecode จะช่วยให้สามารถอ้างอิงตำแหน่งของคลิปได้อย่างตรงกัน - การเพิ่มคำบรรยาย (Subtitles)
Timecode มีบทบาทสำคัญในการกำหนดตำแหน่งของคำบรรยายให้ตรงกับช่วงเวลาในวิดีโอ - การแก้ไขสี (Color Grading)
ในการปรับแก้สี Timecode ใช้เพื่อระบุช่วงเวลาที่ต้องการแก้ไขในไฟล์วิดีโอ
อัตราเฟรมและ Timecode
Timecode ทำงานควบคู่กับอัตราเฟรม (Frame Rate) ของวิดีโอ ซึ่งมีผลต่อความยาวของเฟรม ตัวอย่างอัตราเฟรมที่ใช้บ่อยได้แก่:
- 24 เฟรมต่อวินาที: มาตรฐานในอุตสาหกรรมภาพยนตร์
- 25 เฟรมต่อวินาที: ใช้ในระบบ PAL
- 30 เฟรมต่อวินาที: ใช้ในระบบ NTSC
อัตราเฟรมเหล่านี้มีผลต่อการนับเฟรมใน Timecode และความแม่นยำของเวลา