การ Exporting หรือที่เรียกในภาษาไทยว่า การส่งออก (ส่งออกไฟล์) เป็นกระบวนการสุดท้ายในการตัดต่อวิดีโอ โดยหมายถึงขั้นตอนที่ผู้ใช้ทำการแปลงไฟล์วิดีโอที่ได้รับการแก้ไขและจัดการให้เสร็จสิ้นแล้วให้อยู่ในรูปแบบที่พร้อมสำหรับการใช้งาน หรือการแชร์กับผู้อื่น การส่งออกวิดีโอเป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องทำหลังจากที่ผู้ใช้งานได้ทำการตัดต่อหรือเพิ่มลูกเล่นต่าง ๆ ในวิดีโอเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะวิดีโอที่เราตัดต่อในโปรแกรมมักจะเป็นไฟล์ที่ยังไม่ได้ถูกแปลงไปเป็นไฟล์ที่สามารถเล่นได้ทันทีในเครื่องเล่นทั่วไป
การเลือกฟอร์แมตไฟล์ (File Format)
การเลือกฟอร์แมตไฟล์หรือรูปแบบของไฟล์ที่ต้องการส่งออกนั้นเป็นปัจจัยสำคัญ ฟอร์แมตที่เลือกจะต้องเหมาะสมกับการใช้งานของผู้ใช้ เช่น หากวิดีโอจะถูกอัปโหลดไปยังแพลตฟอร์มออนไลน์เช่น YouTube ฟอร์แมตที่เหมาะสมอาจเป็น MP4 ซึ่งเป็นฟอร์แมตที่ใช้กันอย่างแพร่หลายเพราะมีการบีบอัดข้อมูลได้ดีและมีคุณภาพสูง
ฟอร์แมตที่นิยมใช้ในการส่งออกมีดังนี้:
- MP4 (MPEG-4 Part 14): ฟอร์แมตยอดนิยมที่ให้คุณภาพวิดีโอสูงและขนาดไฟล์ที่ไม่ใหญ่จนเกินไป เหมาะสำหรับการแชร์หรืออัปโหลดออนไลน์
- AVI (Audio Video Interleave): ฟอร์แมตเก่าที่สามารถรองรับความละเอียดสูง แต่ไฟล์มีขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับการเก็บไฟล์คุณภาพสูง
- MOV (QuickTime File Format): ฟอร์แมตที่พัฒนาโดย Apple ใช้งานได้ดีบนระบบ macOS และ iOS และมีคุณภาพสูง
- WMV (Windows Media Video): ฟอร์แมตที่พัฒนาโดย Microsoft มีขนาดไฟล์เล็ก แต่คุณภาพอาจลดลงเล็กน้อย
การตั้งค่าความละเอียด (Resolution)
นอกเหนือจากการเลือกฟอร์แมตไฟล์แล้ว ความละเอียดของวิดีโอ (Resolution) เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการส่งออก วิดีโอสามารถมีความละเอียดตั้งแต่ต่ำ เช่น 480p จนถึงความละเอียดสูง เช่น 4K หรือแม้กระทั่ง 8K ขึ้นอยู่กับความต้องการในการใช้งานของวิดีโอ การตั้งค่าความละเอียดที่สูงขึ้นมักจะใช้ในการแสดงผลบนหน้าจอใหญ่หรือเพื่อความคมชัดที่ดีกว่า แต่ไฟล์จะมีขนาดใหญ่ขึ้นตามไปด้วย
การเลือกความละเอียดที่เหมาะสมมีดังนี้:
- 720p (HD): ความละเอียดมาตรฐาน เหมาะสำหรับวิดีโอออนไลน์ทั่วไป
- 1080p (Full HD): ความละเอียดที่นิยมมากในการผลิตวิดีโอคุณภาพสูง เหมาะสำหรับแพลตฟอร์มออนไลน์หรือการแสดงผลบนจอขนาดกลาง
- 4K (Ultra HD): ใช้ในการแสดงผลบนจอขนาดใหญ่หรือในงานโปรดักชั่นที่ต้องการความละเอียดสูงเป็นพิเศษ
- 8K: ความละเอียดสูงสุดในปัจจุบัน ใช้ในงานที่ต้องการรายละเอียดภาพที่สูงมาก เช่น งานถ่ายทำภาพยนตร์หรือโปรเจกต์ขนาดใหญ่
การตั้งค่าบีทเรท (Bitrate)
บีทเรท หรือ Bitrate คือจำนวนข้อมูลที่ถูกใช้งานต่อวินาทีในไฟล์วิดีโอ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อคุณภาพและขนาดของไฟล์ หากบีทเรทสูง คุณภาพของวิดีโอจะดีขึ้น แต่ขนาดของไฟล์ก็จะใหญ่ขึ้นตามไปด้วย บีทเรทที่ต่ำจะทำให้ขนาดไฟล์เล็กลง แต่คุณภาพอาจลดลง
ประเภทของบีทเรทมีดังนี้:
- CBR (Constant Bitrate): บีทเรทคงที่ ใช้จำนวนข้อมูลต่อวินาทีเท่ากันตลอดทั้งไฟล์วิดีโอ เหมาะสำหรับวิดีโอที่มีการเคลื่อนไหวไม่มาก
- VBR (Variable Bitrate): บีทเรทแปรผัน ปรับเปลี่ยนตามความซับซ้อนของภาพในแต่ละช่วง เหมาะสำหรับวิดีโอที่มีการเปลี่ยนแปลงภาพบ่อย ๆ ทำให้ได้คุณภาพที่ดีกว่าในขณะที่ขนาดไฟล์อาจจะเล็กลงกว่าบีทเรทคงที่
การตั้งค่าความถี่ภาพ (Frame Rate)
ความถี่ภาพ หรือ Frame Rate เป็นจำนวนเฟรมที่แสดงผลในหนึ่งวินาที (Frames per Second หรือ FPS) ความถี่ภาพที่สูงขึ้นทำให้ภาพเคลื่อนไหวราบรื่นมากขึ้น วิดีโอทั่วไปมักใช้ความถี่ภาพที่ 24 FPS, 30 FPS หรือ 60 FPS ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของวิดีโอ เช่น หากเป็นวิดีโอสำหรับ YouTube ความถี่ภาพที่ 30 FPS มักจะเหมาะสม แต่หากเป็นการถ่ายทำวิดีโอเกมหรือกีฬา ความถี่ภาพที่ 60 FPS จะทำให้การเคลื่อนไหวดูนุ่มนวลและคมชัดมากขึ้น
การเลือกตัวแปลงสัญญาณ (Codec)
ตัวแปลงสัญญาณ หรือ Codec เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการบีบอัดและขยายไฟล์วิดีโอเมื่อทำการส่งออก ตัวแปลงสัญญาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ไฟล์วิดีโอมีขนาดเล็กลงและสามารถเปิดเล่นได้อย่างราบรื่นบนอุปกรณ์ที่หลากหลาย
ตัวแปลงสัญญาณที่นิยมใช้ ได้แก่:
- H.264: ตัวแปลงสัญญาณที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการผลิตวิดีโอคุณภาพสูง ขนาดไฟล์เล็ก และสามารถเล่นได้บนอุปกรณ์ส่วนใหญ่
- H.265 (HEVC): พัฒนามาจาก H.264 มีการบีบอัดข้อมูลที่ดีกว่า แต่ยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควรบนอุปกรณ์เก่า
- ProRes: ใช้ในการผลิตวิดีโอคุณภาพสูง เหมาะสำหรับการใช้งานในวงการโปรดักชั่นภาพยนตร์
การเรนเดอร์ (Rendering)
การ เรนเดอร์ (Rendering) เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการ Exporting ซึ่งเป็นขั้นตอนที่โปรแกรมตัดต่อวิดีโอทำการประมวลผลและแปลงข้อมูลทั้งหมดจากโปรเจกต์ให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถใช้งานได้ การเรนเดอร์วิดีโอนั้นใช้เวลาและพลังงานในการประมวลผลมากขึ้นตามความซับซ้อนของโปรเจกต์ เช่น การใส่เอฟเฟกต์ภาพ เสียง หรืองานแอนิเมชั่นต่าง ๆ