ในโลกของการถ่ายทำวิดีโอและการตัดต่อ หนึ่งในแนวคิดที่สำคัญที่สุดที่เราต้องเข้าใจคือ “Frame Rate” หรือในภาษาไทยเรียกว่า “อัตราเฟรม” (เฟรมเรท) ซึ่งมีความสำคัญมากต่อการสร้างวิดีโอที่มีคุณภาพสูง การทำความเข้าใจอัตราเฟรมจะช่วยให้เราสามารถเลือกการตั้งค่าที่เหมาะสมสำหรับการถ่ายวิดีโอและการตัดต่อได้อย่างแม่นยำ
อัตราเฟรมคืออะไร?
อัตราเฟรม (เฟรมเรท) หมายถึงจำนวนภาพนิ่งที่ถูกแสดงผลในหนึ่งวินาทีภายในวิดีโอ ทุกวิดีโอที่เราดูไม่ว่าจะบนโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือ ล้วนเกิดจากการแสดงภาพนิ่งหลายๆ ภาพในลำดับที่ต่อเนื่องกัน การแสดงผลภาพเหล่านี้ที่มีความเร็วสูงเพียงพอจะสร้างความรู้สึกว่าภาพนั้นกำลังเคลื่อนไหวได้ นั่นคือสิ่งที่เราเรียกว่า “วิดีโอ”
อัตราเฟรมมีหน่วยวัดเป็นอะไร?
อัตราเฟรมจะถูกวัดเป็น “เฟรมต่อวินาที” หรือ FPS (Frames Per Second) ซึ่งหมายถึงจำนวนภาพนิ่งที่แสดงต่อหนึ่งวินาที ถ้าอัตราเฟรมสูง ก็หมายความว่าวิดีโอนั้นมีภาพนิ่งแสดงผลจำนวนมากในแต่ละวินาที และทำให้ภาพเคลื่อนไหวดูลื่นไหลมากขึ้น
อัตราเฟรมต่างๆ และความแตกต่างของมัน
อัตราเฟรมมีหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับประเภทของงานหรือวิดีโอที่ต้องการถ่ายทำ อัตราเฟรมที่ใช้บ่อยได้แก่:
- 24 FPS: อัตราเฟรมที่เป็นมาตรฐานสำหรับการถ่ายภาพยนตร์ ใช้ในงานภาพยนตร์ส่วนใหญ่ เพราะให้ความรู้สึกที่คลาสสิกและคุ้นเคยกับสายตาของคนดู
- 30 FPS: อัตราเฟรมที่ใช้บ่อยในงานวิดีโอออนไลน์ เช่น YouTube หรือการถ่ายทำโทรทัศน์บางประเภท ให้ภาพที่ค่อนข้างลื่นไหลกว่า 24 FPS แต่ยังคงความเป็นธรรมชาติ
- 60 FPS: อัตราเฟรมที่มักใช้ในงานวิดีโอที่ต้องการความลื่นไหลของภาพสูง เช่น งานวิดีโอเกม การถ่ายทอดสดกีฬา หรือวิดีโอที่มีการเคลื่อนไหวเร็วมาก
- 120 FPS หรือมากกว่า: อัตราเฟรมที่สูงมาก จะถูกใช้ในงานวิดีโอที่ต้องการสร้างเอฟเฟกต์สโลว์โมชั่น (Slow Motion) เพื่อให้ได้รายละเอียดที่ลื่นไหลเมื่อทำการลดความเร็วของภาพ
ทำไมอัตราเฟรมถึงมีความสำคัญ?
อัตราเฟรมเป็นตัวกำหนดความลื่นไหลของภาพในวิดีโอ ถ้าอัตราเฟรมต่ำ ภาพเคลื่อนไหวอาจจะดูกระตุกและไม่ลื่นไหล ในทางกลับกัน หากอัตราเฟรมสูง ภาพจะดูลื่นไหลและสมจริงมากขึ้น การเลือกอัตราเฟรมที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการถ่ายทำ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณถ่ายภาพยนตร์ คุณอาจเลือกใช้ 24 FPS แต่ถ้าคุณถ่ายวิดีโอเกม คุณอาจเลือก 60 FPS หรือมากกว่าเพื่อให้ได้ภาพที่ลื่นไหลที่สุด
อัตราเฟรมและการรับชมของมนุษย์
แม้ว่ามนุษย์จะสามารถรับรู้ความเคลื่อนไหวได้ แต่ดวงตาของเราก็มีข้อจำกัดในการแยกภาพนิ่ง เมื่ออัตราเฟรมต่ำกว่า 24 FPS ดวงตาของเราจะสามารถแยกเห็นภาพนิ่งได้ชัดเจน ส่งผลให้วิดีโอดูกระตุก แต่เมื่ออัตราเฟรมสูงขึ้นเกิน 24 FPS ดวงตาของเราจะไม่สามารถแยกแยะภาพนิ่งได้ง่าย วิดีโอจึงดูต่อเนื่องและลื่นไหล
การใช้อัตราเฟรมในงานวิดีโอที่แตกต่างกัน
ในการสร้างงานวิดีโอ ประเภทของงานที่เราต้องการถ่ายทำมีผลอย่างมากต่อการเลือกอัตราเฟรม:
- ภาพยนตร์: มักใช้ 24 FPS เพราะให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติและคล้ายกับที่ผู้ชมคุ้นเคย
- วิดีโอออนไลน์และโทรทัศน์: ส่วนใหญ่จะใช้อัตราเฟรมที่ 30 FPS เพื่อให้ภาพลื่นไหลและดูคมชัดมากขึ้น
- งานกีฬาและวิดีโอเกม: อัตราเฟรม 60 FPS เป็นที่นิยมเพราะให้ภาพที่ลื่นไหลและมีความคมชัดสูง โดยเฉพาะในงานที่มีการเคลื่อนไหวเร็ว
- วิดีโอสโลว์โมชั่น: การใช้อัตราเฟรมสูงกว่า 120 FPS หรือมากกว่า สามารถทำให้ได้ภาพที่สโลว์และลื่นไหลอย่างเป็นธรรมชาติ
ความท้าทายในการใช้อัตราเฟรมสูง
แม้ว่าการถ่ายทำที่อัตราเฟรมสูงจะดูเหมือนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างภาพลื่นไหล แต่การใช้อัตราเฟรมสูงก็มาพร้อมกับความท้าทายบางอย่าง เช่น ไฟล์วิดีโอที่มีขนาดใหญ่ขึ้น การใช้ทรัพยากรของคอมพิวเตอร์มากขึ้นในกระบวนการตัดต่อ และการประมวลผลที่ช้าลง การถ่ายทำและตัดต่อที่อัตราเฟรมสูงจึงต้องการอุปกรณ์และโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
อัตราเฟรมและคุณภาพของวิดีโอ
อัตราเฟรมยังมีผลต่อคุณภาพของวิดีโอโดยตรงอีกด้วย อัตราเฟรมต่ำอาจทำให้วิดีโอดูกระตุกหรือเบลอเมื่อมีการเคลื่อนไหวเร็ว ขณะที่อัตราเฟรมสูงจะทำให้ภาพมีความคมชัดและลื่นไหล โดยเฉพาะในฉากที่มีการเคลื่อนไหวรวดเร็ว เช่น การแข่งขันกีฬา