videoeditorprogram-stars

ประสบการณ์กว่า 15 ปีในวงการตัดต่อวิดีโอ

ISO คืออะไร?

Kristian Ole Rørbye

โดย Kristian Ole Rørbye

อัตรา

ISO (International Organization for Standardization) เป็นหนึ่งในสามองค์ประกอบหลักของการตั้งค่าการรับแสงในกล้องถ่ายภาพ ซึ่งประกอบด้วย ISO, ความเร็วชัตเตอร์ (Shutter Speed) และรูรับแสง (Aperture) โดย ISO นั้นมีหน้าที่ควบคุมความไวของเซ็นเซอร์กล้องต่อแสง ในภาษาไทย ISO มักเรียกกันว่า “ค่าความไวแสง” หรือ “ค่าไอโซ”

ความหมายของ ISO

ISO มาจากมาตรฐานสากลที่จัดทำโดยองค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (International Organization for Standardization) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำหนดมาตรฐานสากลในด้านต่าง ๆ รวมถึงการถ่ายภาพ โดยค่า ISO ในกล้องจะใช้เพื่อปรับความไวแสงของเซ็นเซอร์ในกล้องดิจิตอล ซึ่งค่าที่ต่ำจะทำให้กล้องน้อยลงในการจับแสง ในขณะที่ค่าที่สูงขึ้นจะทำให้กล้องมีความไวต่อแสงมากขึ้น

การทำงานของ ISO

ค่าของ ISO ในกล้องจะเริ่มต้นจากระดับต่ำ เช่น ISO 100 และสามารถปรับขึ้นไปได้ถึงระดับสูง เช่น ISO 3200 หรือสูงกว่านั้นในกล้องบางรุ่น ยิ่งค่า ISO สูง เซ็นเซอร์ของกล้องจะไวต่อแสงมากขึ้น แต่การใช้ค่า ISO สูงจะทำให้ภาพมีโอกาสเกิด “Noise” หรือ “สัญญาณรบกวน” ในภาพได้มากขึ้น

  • ISO ต่ำ (เช่น ISO 100-200) เหมาะกับการถ่ายภาพในสภาพแสงที่ดี เช่น ในวันที่มีแสงแดดจ้า ภาพที่ได้จะมีความคมชัดและมีรายละเอียดที่ดี
  • ISO สูง (เช่น ISO 800-3200 หรือสูงกว่า) จะใช้ในสถานการณ์ที่มีแสงน้อย เช่น การถ่ายภาพในห้องที่มืด หรือการถ่ายภาพในเวลากลางคืน การปรับ ISO ให้สูงขึ้นจะช่วยให้ภาพสว่างขึ้น แต่ต้องระวังผลกระทบจากสัญญาณรบกวน

ความสัมพันธ์ระหว่าง ISO, รูรับแสง และความเร็วชัตเตอร์

การตั้งค่า ISO ในกล้องต้องคำนึงถึงองค์ประกอบอื่น ๆ ของการตั้งค่าการรับแสง เช่น รูรับแสงและความเร็วชัตเตอร์ เพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์ ค่าทั้งสามจะทำงานร่วมกันในการควบคุมปริมาณแสงที่เข้าสู่เซ็นเซอร์:

  • รูรับแสง (Aperture) ควบคุมปริมาณแสงที่เข้าผ่านเลนส์ โดยรูรับแสงที่กว้างจะให้แสงเข้าสู่กล้องมากขึ้น และรูรับแสงที่แคบจะให้แสงเข้าสู่น้อยลง
  • ความเร็วชัตเตอร์ (Shutter Speed) ควบคุมระยะเวลาที่แสงเข้าสู่เซ็นเซอร์ หากชัตเตอร์เปิดนาน แสงจะเข้าสู่กล้องมากขึ้น ในขณะที่ชัตเตอร์ที่เปิดเร็วจะลดปริมาณแสง

การปรับค่า ISO ขึ้นหรือลง จะต้องทำควบคู่กับการปรับค่ารูรับแสงและความเร็วชัตเตอร์เพื่อให้ได้ภาพที่มีการรับแสงที่เหมาะสม

เมื่อใดควรปรับค่า ISO

การเลือกค่า ISO ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่ถ่ายภาพ ดังนี้:

  1. สถานการณ์ที่มีแสงเพียงพอ: เช่น การถ่ายภาพในกลางวัน หรือในสถานที่ที่มีแสงไฟฟ้าที่ดี คุณสามารถใช้ ISO ต่ำ (เช่น ISO 100 หรือ 200) เพื่อรักษาความคมชัดและรายละเอียดของภาพ
  2. สถานการณ์ที่มีแสงน้อย: เช่น การถ่ายภาพในร่มหรือในที่ที่มีแสงสลัว คุณอาจต้องปรับ ISO ให้สูงขึ้น (เช่น ISO 800 หรือ 1600) เพื่อให้กล้องสามารถจับแสงได้เพียงพอโดยไม่ต้องลดความเร็วชัตเตอร์มากเกินไป
  3. การถ่ายภาพเคลื่อนไหว: ในการถ่ายภาพเคลื่อนไหว คุณอาจต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงเพื่อจับภาพที่ชัดเจน และเพื่อชดเชยการตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ที่สูง คุณอาจจำเป็นต้องเพิ่มค่า ISO เพื่อให้กล้องได้รับแสงมากขึ้น

ข้อดีและข้อเสียของการปรับ ISO สูง

แม้ว่าการปรับค่า ISO สูงจะช่วยในการถ่ายภาพในที่ที่มีแสงน้อยได้ แต่ก็มีข้อเสียที่ควรพิจารณา:

  • ข้อดี: ช่วยให้ภาพสว่างขึ้นและสามารถถ่ายภาพในสภาพแวดล้อมที่มีแสงน้อยได้โดยไม่ต้องใช้แฟลช นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่สูงขึ้นในการถ่ายภาพเคลื่อนไหวได้
  • ข้อเสีย: ค่า ISO สูงเกินไปอาจทำให้เกิดสัญญาณรบกวนหรือ “Noise” ในภาพ ซึ่งทำให้ภาพมีคุณภาพลดลง โดยเฉพาะในสภาพแสงน้อย ภาพอาจปรากฏเป็นเม็ดหยาบหรือมีสีเพี้ยน

Noise และวิธีการลดสัญญาณรบกวน

“Noise” หรือสัญญาณรบกวนเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยเมื่อตั้งค่า ISO สูง โดยเฉพาะในการถ่ายภาพในที่ที่มีแสงน้อย Noise จะปรากฏเป็นจุดสีที่กระจายอยู่ทั่วภาพ ทำให้ภาพดูไม่คมชัด ในบางกรณีอาจมีการใช้ซอฟต์แวร์เพื่อลด Noise ได้ แต่การลด Noise มากเกินไปอาจทำให้ภาพสูญเสียรายละเอียดไป

วิธีที่ดีที่สุดในการลด Noise คือการถ่ายภาพด้วย ISO ต่ำเท่าที่จะเป็นไปได้ในสภาพแสงที่เพียงพอ หรือใช้แหล่งแสงเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถลดค่า ISO ได้

ISO ในกล้องฟิล์มและกล้องดิจิตอล

ในกล้องฟิล์ม ค่า ISO หรือค่า ASA (American Standards Association) จะถูกกำหนดโดยความไวของฟิล์มแต่ละม้วน ดังนั้นผู้ถ่ายภาพจะต้องเลือกฟิล์มที่มีค่า ISO ที่เหมาะสมกับสภาพแสงก่อนถ่ายภาพ แต่ในกล้องดิจิตอล ค่า ISO สามารถปรับได้โดยตรงจากการตั้งค่าของกล้อง ทำให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการถ่ายภาพในสถานการณ์ต่าง ๆ